ในยุคที่ข้อมูลคืออาวุธสำคัญ การทำการตลาดออนไลน์ ไม่สามารถอาศัยแค่ไอเดียหรือการคาดเดาอีกต่อไป นักการตลาดที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัย Social Listening เพื่อติดตามเสียงของผู้บริโภค วิเคราะห์เทรนด์ และนำไปสู่ การทำ Market Research ที่แม่นยำ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Social Listening คืออะไร และสามารถใช้เป็น คู่มือสร้างคอนเทนต์ที่ใช่ โดนใจลูกค้า ได้อย่างไรSocial Listening คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์ Social Listening คือกระบวนการ ติดตาม วิเคราะห์ และสรุปข้อมูล จากโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Twitter, TikTok และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อดูว่าผู้บริโภคกำลังพูดถึงอะไรเกี่ยวกับแบรนด์ สินค้า หรืออุตสาหกรรมของคุณทำไม Social Listening ถึงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้?ช่วยทำ Market Research ค้นหาความต้องการของตลาด และพฤติกรรมของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์พัฒนา Brand Analysis วิเคราะห์ภาพลักษณ์แบรนด์และวัดความนิยมได้อย่างแม่นยำสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย หาคีย์เวิร์ดและประเด็นที่ลูกค้าสนใจจริง ๆเปรียบเทียบคู่แข่งได้ง่ายขึ้น วิเคราะห์กลยุทธ์ของคู่แข่งและหาโอกาสใหม่ ๆ.วิธีใช้ Social Listening ทำ Market Research และ Brand Analysis.1. ใช้ Social Listening ทำ Market Research อย่างมีประสิทธิภาพการทำ Market Research คือการศึกษาตลาดเพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้า คู่แข่ง และเทรนด์ในอุตสาหกรรม ซึ่ง Social Listening สามารถช่วยได้ดังนี้:วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ดูว่าผู้คนพูดถึงปัญหาอะไร และพวกเขาต้องการอะไรจากสินค้าและบริการค้นหาเทรนด์ตลาด คีย์เวิร์ดที่กำลังถูกพูดถึงสามารถบอกแนวโน้มของอุตสาหกรรมได้ระบุโอกาสใหม่ ๆ ค้นหาช่องว่างที่คู่แข่งยังไม่ได้เติมเต็ม ตัวอย่าง: หากคุณทำธุรกิจ รับทำการตลาด และพบว่ามีคนค้นหาคำว่า "โฆษณาบน TikTok ดีไหม?" เป็นจำนวนมาก แสดงว่าตลาดกำลังสนใจ TikTok Ads คุณสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อนำเสนอ บริการทำการตลาดออนไลน์บน TikTok ได้2. วิเคราะห์ Brand Analysis ด้วย Social ListeningBrand Analysis คือการวิเคราะห์ภาพลักษณ์ของแบรนด์ผ่านข้อมูลที่ได้รับจาก Social Listening โดยมีจุดสำคัญที่ต้องวิเคราะห์ ได้แก่Brand Sentiment วัดว่าผู้คนพูดถึงแบรนด์ในเชิงบวก ลบ หรือกลางVoice Share เปรียบเทียบว่าผู้บริโภคพูดถึงแบรนด์ของคุณมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่แข่งEngagement Trends วัดผลการมีส่วนร่วม เช่น ไลก์ คอมเมนต์ และแชร์ ตัวอย่าง: หากคุณเป็นบริษัท ทำการตลาดออนไลน์ และพบว่าลูกค้าพูดถึงแบรนด์ของคุณในแง่ของ "บริการมืออาชีพ" และ "ตอบสนองรวดเร็ว" คุณสามารถใช้จุดแข็งนี้ในการสร้างคอนเทนต์ที่เน้นจุดขายของคุณได้3. ใช้ Social Listening เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้าคอนเทนต์ที่ดีต้องตอบโจทย์ลูกค้า และ Social Listening สามารถช่วยให้คุณสร้างคอนเทนต์ที่ตรงจุด โดยวิธีการดังนี้:วิเคราะห์คำถามที่ลูกค้าสนใจ ค้นหาว่าผู้บริโภคมีคำถามอะไรเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณใช้คีย์เวิร์ดที่ลูกค้าค้นหาบ่อย เพิ่ม SEO ให้บทความของคุณติดอันดับสูงขึ้นวัดผลกระแสตอบรับของคอนเทนต์ ปรับแต่งเนื้อหาตามพฤติกรรมผู้ใช้ ตัวอย่าง:…

How to เพิ่มยอดขายเป็น 2 เท่า โดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณา
อยากเพิ่มยอดขาย แต่ไม่อยากเปลืองงบกับค่าโฆษณา ต้องหาทางออกด้วย Performance Marketing
โดยทั่วไปเวลาที่เราอยากเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น หลายๆ เอเจนซี่โฆษณา มักตามมาด้วยการยิงโฆษณาที่มากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้แต่วันนี้เรามีเทคนิคการทำ Performance Marketing เพื่อวางแผนการวัดผลที่ดีและทำให้คุณจ่ายค่า Ads ไม่ถึง 2 เท่า แต่สามารถเพิ่มยอดขายได้เป็นเท่าตัว
1.) วางแผน Funnel เก็บข้อมูลการยิง Ads แยกตาม Channel สำหรับคนที่ยิง Ads หลายช่องทาง เช่น Facebook , Google , TikTok หรืออื่นๆ จำเป็นต้องวางแผนการเก็บข้อมูลเป็น Funnel แยกตาม Channel เพราะในแต่ละช่องทางมักจะมี Cost per conversion หรือ Basket Size ที่ต่างกัน ทำให้การวัดผลความคุ้มค่าของแต่ละ Channel ต้องเก็บข้อมูลแยกกัน และสำคัญที่สุดคือ เพื่อหา ROAS ของ Channel ต่างๆที่ชัดเจนมากขึ้น
2.) จัดลำดับ Priority ของ Ads ที่มี ROAS สูงไปต่ำหลังจากเก็บข้อมูลแยก Channel ได้แล้ว เราจะเริ่มเห็นงบประมาณที่เราใช้ในแต่ละ Channel เทียบกับยอดขายที่ได้รับ ทำให้เราคำนวณ ROAS ได้ง่ายขึ้น และ สามารถจัดลำดับความสำคัญของแต่ละ Channel ได้ดีขึ้น เช่น เราใช้เงินค่าโฆษณารวม 100,000 บาท ต่อเดือน เราจะสามารถเน้นน้ำหนักของงบไปกับ Channel ที่ทำ ROAS ได้ดีที่สุด (แต่ไม่ควร All in ไปใน Channel ที่ดีที่สุดช่องทางเดียว เพราะเสี่ยงเกินไป และอาจมีปัจจัยภายนอกอื่นๆที่ไม่คาดคิดมากระทบได้)
3.) สร้าง Dashboard สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลให้ง่ายขึ้นเพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น ควรสร้าง Dashboard สำหรับอ่านข้อมูลได้ง่ายๆ เช่น อาจใช้ Google Data Studio ทำกราฟเปรียบเทียบเงินค่าโฆษณา และยอดขายในแต่ละ Channel จะทำให้การตรวจสอบปัญหา และแก้ไข ทำได้ง่าย และรวดเร็วขึ้นมากๆ
4.) อย่ายึดติด หมั่นตรวจสอบ และรีบปรับแผนการทำงานตามสถานการณ์ส่วนใหญ่เวลาวางแผนการตลาด เราอาจวางเป็นแผนรายเดือน รายไตรมาศ หรือรายปี ซึ่งบางทีเราอาจจะยึดติดกับแผนมากเกินไป ทำให้การปรับเปลี่ยนแผนค่อนข้างช้า และอาจเสียโอกาสที่ดีได้ เราจึงควรหมั่นตรวจสอบ Dashboard หรือ KPI ต่างๆอยู่เสมอ เพื่อให้เราแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้นตามสถานการณ์ เช่น อาจมีการทดสอบเป็นรายสัปดาห์ กลยุทธ์ยังทำไม่ได้ตามเป้าหมาย ก็ต้องรีบวิเคราะห์หาสาเหตุ และทดลอง Content ใหม่ๆอยู่เสมอ
เมื่อเรามีเทคนิคการเก็บ Data และทำ Report ที่ดี การปรับกลยุทธ์ รวมถึงสัดส่วนงบประมาณโฆษณา ให้เสกลยอดขายได้มากขึ้น ก็จะไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากขึ้นเป็นเท่าตัวเสมอไป อาจจะไม่ต้องใช้ เอเจนซี่โฆษณา แต่เราจะรู้ได้ว่า Channel ไหน หรือ Content ไหน ที่สร้างยอดขายได้คุ้มค่ามากที่สุด และบางครั้ง Channel ที่สร้างยอดขายได้ “มากที่สุด” อาจจะไม่ใช่ Channel ที่ “คุ้มค่าที่สุด” สำหรับคุณก็ได้ยังมีเทคนิคอีกมากมายในการประยุกต์ใช้ Performance Marketing ที่น่าสนใจ ในการทำธุรกิจ และการวางแผนการตลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา ให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
———————————–
หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาและทีมทำ เอเจนซี่โฆษณา สร้างยอดขายทะลุเป้าแบบก้าวกระโดด ติดต่อเราเพื่อให้ธุรกิจของคุณไปสู่เป้าหมายที่ใฝ่ฝัน
ติดต่อปรึกษา เอเจนซี่โฆษณา ได้ที่ :: 094-616-3651
Line OA : @Unicronet
#Unicronet #PerformanceMarketing #DigitalAgency #เอเจนซี่โฆษณา