- หนังสือแจ้งนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับ คู่ค้าธุรกิจและซัพพลายเออร์
บริษัท อินเทลลิเจนท์ คอนซัลติ้ง แอนด์ บิสซิเนส ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (รวมเรียกว่า “บริษัท”) เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของคู่ค้าธุรกิจและซัพพลายเออร์ (รวมเรียกว่า “ท่าน”) และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าท่านได้รับความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้จัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ขึ้นเพื่อแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดการเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) รวมตลอดถึงการลบ และทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทั้งช่องทางออนไลน์ และช่องทางอื่น ๆ ตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด ดังนี้
1. วัตถุประสงค์
1.1 เพื่อใช้ในการดำเนินการด้านเอกสารก่อนเข้าทำสัญญาหรือเพื่อปฏิบัติตามสัญญาซึ่งคู่ธุรกิจเป็นคู่สัญญากับบริษัท
1.2 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามสัญญาระหว่างบริษัท กับท่านเพื่อการจัดซื้อ จัดจ้าง ตรวจรับ ชำระค่าสินค้าและบริการ บริหารจัดการ ตรวจสอบและประเมินการทำงานตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญาว่าจ้างให้บริการหรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบริหารจัดการด้านภาษี
1.3 เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร และจัดทำฐานข้อมูล รวมถึงกระบวนที่เกี่ยวข้องการดำเนินการ ภายใต้ สัญญาจ้างทำของ
1.4 เพื่อการแจ้งข่าวสารและสิทธิประโยชน์ของทางเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลผ่านทาง อีเมล ข้อความ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย โทรศัพท์ และไดเร็กเมล
2. ข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวม
1.) ข้อมูลตามเอกสารที่ท่านส่งมอบให้แก่บริษัท เช่น Resume Curriculum Vitae (CV) , ตัวอย่างผลงานที่เคยทำ
2.) ข้อมูลเฉพาะตัวบุคคล เช่น คำนำหน้าชื่อ ชื่อ นามสกุล ชื่อกลาง ชื่อเล่น อาชีพ สำเนาบัตรประชาชน
3.) ข้อมูลสำหรับการติดต่อ เช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่ทางไปรษณีย์บ้าน ชื่อผู้ใช้งานในสังคมออนไลน์ (Line ID, Facebook)
4.) ข้อมูลส่วนบุคคลด้านการเงิน เช่น สำเนาสมุดบัญชีธนาคารสำหรับการจ่ายค่าจ้าง
5.) ข้อมูลทางชีวภาพ (Bio-Metric) เช่น รูปใบหน้า ข้อมูลอัตลักษณ์เสียง
3. หลักเกณฑ์การเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
3.1 บริษัทจะไม่เก็บรวบรวมข้อมูลของท่านจากแหล่งที่มาอื่นที่ไม่ใช่ของท่านโดยตรง เว้นแต่กรณีที่บริษัทได้แจ้งท่านถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งที่มาอื่นภายใน 30 วัน และได้รับความยินยอมจากท่านแล้ว
3.2 บริษัทจะไม่เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลละเอียดอ่อน เช่นเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งกระทบต่อท่านในทำนองเดียวกัน โดยไม่ได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน เว้นแต่เป็นกรณีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 26 บัญญัติให้กระทำได้
3.3 บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคล หรือ นิติบุคคลภายนอก หรือนิติบุคคล เพื่อวัตถุประสงค์ดังที่แจ้งในข้อ 3 (วัตถุประสงค์) ดังนี้
1.) หน่วยงานของรัฐที่ต้องเปิดเผยข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินการตามกฎหมาย เช่น หน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือมีอำนาจควบคุมกำกับดูแล หรือมีวัตถุประสงค์อื่นที่มีความสำคัญ
2.) หน่วยงานภาคเอกชนที่ต้องเปิดเผยเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องกับสวัสดิการและค่าตอบแทนพนักงาน เช่น สำนักงานบัญชีสำหรับคำนวณภาษีประจำปี บริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเอกสารสำหรับการคำนวณเงินเดือน และค่าใช้จ่ายบริษัท
3.) พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร ประสานและดำเนินงานตามสัญญาว่าจ้าง เช่น ชื่อ เบอร์ติดต่อ ไลน์ อีเมล สำหรับการติดต่อประสานงาน
กรณีมีความจำเป็นต้องเผยข้อมูล นอกเหนือที่กล่าวมาข้างต้น บริษัทจะต้องแจ้งวัตถุประสงค์ในการ ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้บริษัททราบก่อน และต้องไม่ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่ได้ให้ไว้แก่บริษัท
4. การขอความยินยอมและผลกระทบที่เป็นไปได้จากการไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคล
4.1 ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลโดยอาศัยความยินยอมของท่าน ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมของท่านที่ให้ไว้กับบริษัทได้ตลอดเวลา ซึ่งการถอนความยินยอมนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไปแล้ว
4.2 หากท่านถอนความยินยอมที่ได้ให้ไว้กับบริษัทหรือปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลบางอย่าง อาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ได้
5. ระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
5.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในระยะเวลา 1 ปี หลังจากสัญญาว่าจ้างได้สิ้นสุดลง เว้นแต่
1.) กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้นในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)
2.) บริษัทอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้หลังเสร็จสิ้นการพิจารณาความเหมาะสมของท่านในงานนั้น เพื่อใช้ในการพิจารณาและติดต่อกับท่านในกรณีที่มีงานอื่นที่บริษัทเห็นว่าอาจเหมาะสมกับท่านในระยะเวลาที่จำเป็น และหากท่านไม่ต้องการให้บริษัทเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไว้เพื่อประกอบการพิจารณางานอื่น ท่านสามารถติดต่อบริษัทได้ตามช่องทางที่ระบุไว้ในนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้
3.) กรณีทีบริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอมและบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอ
5.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
6. กฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์อ้างอิงในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทอ้างอิงกฎหมายและระเบียบที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ดังนี้
วัตถุประสงค์ | กฎหมายระเบียบ หลักเกณฑ์อ้างอิง |
---|---|
เพื่อการดำเนินภารกิจตามสัญญาจ้างทำของ | เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินการด้านเอกสารหรือดำเนินอื่น ๆ โดยต้องอยู่ภายใต้ขอบเขต
|
เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย | เพื่อให้บริษัท สามารถปฏิบัติตามที่กฎหมายที่ควบคุมบริษัท. เช่น
|
เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย | เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท ซึ่งประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เพื่อดำเนินการชำระค่าจ้างตามสัญญาจ้างทำของ |
เพื่อการปฏิบัติตามสัญญา | เพื่อให้บริษัท สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือดำเนินการ อันเป็นความจำเป็นต่อการเข้าทำสัญญาซึ่งท่านเป็นคู่สัญญากับบริษัท เช่น สัญญาจ้างทำของ การทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือหรือสัญญาในอื่น |
ความยินยอม | เพื่อการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัท จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากท่าน โดยได้มีการแจ้งวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลก่อนการขอความยินยอมแล้ว เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่เป็นไปตามข้อยกเว้นมาตรา 24 หรือ 26 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ การนำเสนอ ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์และบริการของคู่สัญญา หรือพันธมิตรทางธุรกิจแก่ท่าน เป็นต้น |
7. การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศ
7.1 บริษัทอาจเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านบนคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์หรือคลาวด์ที่ให้บริการโดยบุคคลอื่น และอาจใช้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันของบุคคลอื่นในรูปแบบของการให้บริการซอฟท์แวร์สำเร็จรูปและรูปแบบของการให้บริการแพลตฟอร์มสำเร็จรูปในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน แต่บริษัทจะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้ และจะกำหนดให้บุคคลอื่นเหล่านั้นต้องมีมาตรการคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม
7.2 ในกรณีที่มีการส่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไปยังต่างประเทศ บริษัทจะปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจะได้รับการคุ้มครองและท่านสามารถใช้สิทธิที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ตามกฎหมาย รวมถึงบริษัทจะกำหนดให้ผู้ที่ได้รับข้อมูลมีมาตรการปกป้องข้อมูลของท่านอย่างเหมาะสมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากอำนาจโดยมิชอบ
8. ระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
8.1 การจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในหนังสือแจ้งนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีการตั้งรหัสผ่านสำหรับก่อนการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลทุกครั้ง เพื่อรักษาความปลอดภัย และสัญญาปกปิดข้อมูลของพนักงาน
8.2 บริษัทได้มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคล หรือนิติบุคคลภายนอก ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ให้ไว้แก่บริษัท บนพื้นที่การจัดเก็บข้อมูล พื้นที่จัดเก็บคลาวด์ และพื้นที่จัดเก็บ Email ที่มีมาตรฐานได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล มาตรการประเมินความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ รวมทั้ง ISO 27001, SOC 1, 2, และ 3, GDPR, หลักจรรยาบรรณ CSA, และ HIPAA/HITECH
9. สิทธิเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
9.1 ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สรุปดังนี้
1.) ถอนความยินยอมที่ท่านได้ให้ไว้กับบริษัทในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมายหรือมีสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือหลังจากนั้น)
2.) ขอเข้าถึง หรือรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเองที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้เปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร
3.) คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
4.) ขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
5.) ขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของได้ (anonymization) ดังต่อไปนี้
- ข้อมูลของท่านไม่มีความจำเป็นที่จะเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลของท่าน
- เมื่อท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมและบริษัทไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเก็บรวบรวม ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้
- เมื่อท่านใช้สิทธิคัดค้านตาม ข้อ (3) และบริษัทไม่อาจปฏิเสธคำขอได้ตามกฎหมาย
- เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ถูกเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
6.) ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ในกรณีดังต่อไปนี้
- กรณีบริษัทอยู่ในระหว่างการตรวจสอบตามที่ท่านร้องขอ
- กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องลบ ทำลาย เนื่องจากหมดความจำเป็นในการเก็บรักษา แต่ท่านขอให้เก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายการปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
- เมื่อบริษัทอยู่ระหว่างพิสูจน์คำขอคัดค้านของท่านตามข้อ (3) เพื่อดูว่าบริษัทมีอำนาจตามกฎหมายให้ปฏิเสธคำคัดค้านของท่านได้หรือไม่
7.) ร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการเก็บรวบรวม ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
8.) การใช้สิทธิของท่านดังกล่าวข้างต้นอาจถูกจำกัดภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีบางกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่บริษัทอาจปฏิเสธหรือไม่สามารถดำเนินการตามคำขอใช้สิทธิข้างต้นของท่านได้ เช่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล การใช้สิทธิละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านโดยเร็วภายใน 30 วันนับแต่วันที่บริษัทได้รับคำร้องขอดังกล่าว และสิทธิตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นไปตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด
9.2 ท่านสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายได้โดย คลิกที่นี่ หรือ ไปที่ [https://www.unicronet.com/privacy-center-form]
10. การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ บริษัทจะประกาศนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับใหม่ผ่านทางเว็บไซต์นี้ ซึ่งท่านควรเข้ามาตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวเป็นครั้งคราว หรืออาจส่งประกาศให้ท่านทราบโดยตรง โดยนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ประกาศ
11. ช่องทางในการติดต่อด้านข้อมูลส่วนบุคคล
หากท่านมีข้อเสนอแนะ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดการเก็บรวบรวม ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการขอใช้สิทธิตามนโยบายฉบับนี้ ท่านสามารถติดต่อบริษัทได้ผ่านช่องทางดังนี้
11.1 Email : chayanis@icbdconsulting.com
11.2 สถานที่ติดต่อ : 179/25 ซอยนาวงประชาพัฒนา 15 ถนนนาวงประชาพัฒนา แขวงสีกัน เขตดอนเมืองกรุงเทพ 10210
11.3 โทร : 02-077-8171
ประกาศ ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2565 เวลา 18.00 น.